เกาะDokdoเป็นของใครฉันไม่ค้าน แต่เขาพระวิหารต้องเป็นของเรา…

 
ไม่ใช่แต่ประเทศไทยหรอก ที่มีข้อพิพาทเรื่องดินแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน
ยังมีอีกหลายประเทศรวมทั้งเกาหลีเองก็มีเรื่องกับญี่ปุ่นด้วย แถมกำลังเป็นข่าวครึกโครม
ไม่แพ้บ้านเรา แต่เค้าไม่ได้แย่งปราสาทราชวัง เค้าแย่งเกาะแก่งกันจ๊ะ
ออกจะรุนแรงกว่าถึงขนาดเกาหลีจะเรียกทูตของตัวเองที่ประจำอยู่ญี่ปุ่น
ให้กลับประเทศ เพราะญี่ปุ่นดันไปเขียนตำราเรียนว่าเกาะดังกล่าวเป็นของเราชาวซามูไร

xxxx_080520_p13_dokdo1 

เกาะที่ว่านี้ เกาหลีเรียกว่า"Dokdo" ญี่ปุ่นเรียก"Takeshima" มันเป็นเกาะเล็กๆที่มีแต่โขดหิน
แต่ทำไมแย่งกันจีรศักดิ์จะไม่พูดถึง เดี๋ยวจะวิชาการจ๋าจนเกินไป เกาะพิพาทนี้กำลัง
จุดกระแสต่อต้านญี่ปุ่นในหมู่ชาวเกาหลีให้กลับมาอีกครั้ง (ครั้งที่ห้าพันแล้วมั๊ง)
เกาหลีเองไม่ยอมง่ายๆแน่ เพราะคนประเทศมีจิตสำนึกในความเป็นชาติสูง
และมีอดีตที่บอบช้ำถูกรังแกมากมาย (โดยเฉพาะจากญี่ปุ่น) 

ถ้าเกาหลีจะต่อต้านอะไร เค้าก็ไม่ทำกันเล่นๆ แต่จะทำแบบสุดๆเผ็ดๆสไสต์กิมจิ
เมื่อเดือนก่อนเกาหลีก็เพึ่งมีเรื่องกับสหรัฐเพราะประชาชนชาวเกาหลีไม่ยอมให้รัฐบาลเกาหลี
นำเข้าเนื้อวัวจากสหรัฐ เนื่องจากกลัวเชื้อวัวบ้าที่เคยระบาดเมื่อหลายปีก่อน
จนกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โต ส่งผลให้สหรัฐในสายตาชาวเกาหลีดูเป็นผู้ร้ายมากขึ้นทุกวัน
การเจรจา FTA เกาหลี-สหรัฐก็ต้องล่มเพราะเรื่องเนื้อวัวนี่แหละ
กระแสต้านสหรัฐแม้กระทั่งวันนี้ก็ยังรุนแรง
เอาง่ายๆดูโปสเตอร์ของแมคโดนัลด์อันนี้สิจ๊ะหนูๆ

XXXX_mcad2

โปสเตอร์ของแมคอันนี้มีใจความว่า "แมคโดนัลด์เกาหลีใช้เนื้อวัวจากออสเตรเลียนะจ๊ะ"
(แอบแปลออกดีใจว่ะ คริ คริ)  เห็นไหม ขนาดแมคเกาหลีสัญชาติสหรัฐ
ยังยอมแพ้กลัวคนเกาหลีไม่กินแมคถึงขนาดออกโปสเตอร์นี่เลย

เกาหลีสู้ไม่ถอยไม่ว่าจะเรื่องอะไร แต่พี่ไทยกลัวจู๋หด ยกให้เค้าไปดื้อๆ
เขาพระวิหาร ถ้าเราจะเอาคืนมาก็ต้องตอบตัวเองก่อนว่าเอามาแล้วมีประโยชน์อะไรบ้าง
และหลักฐานที่จะยืนยันรอบใหม่มีน้ำหนักพอไหม ถ้าเราตอบโจทย์เหล่านี้ได้
เราก็ต้องสู้ไม่ถอย ส่งทหารไปเอาคืนมาก็ต้องทำได้ ยูเนสโก้มันเป็นอะไร เราขอข้าว
มันกินหรือเปล่า ต้องไปเชื่อมันทุกอย่าง อยากจะขึ้นทะเบียนกันนักก็ขึ้นไป
ของมันเป็นของใคร ถ้าเป็นของเรา เราต้องเอาคืนมา ถ้าพื้นที่ไม่กี่ตารางเมตรนั้น
ตกลงกันไม่ได้น่าจะลองร่วมมือกันพัฒนาดู ถ้าร่วมมือกับเด็กอมมือ
ที่แม่มันโครตดุไม่ได้ (ฝรั่งเศส) ก็ต้องรบกันเลยให้มันรู้เรื่อง
เดี๋ยวนานาชาติก็เข้ามาไกล่เกลี่ยเอง แต่ก็ต้องระวังฝรั่งเศส
ไอ้เศษเดนฝรั่งที่มันย่ำยีเราตลอดเวลา

ถ้าสุดท้ายแล้วต้องตกเป็นของกัมพูชาจริงๆ เราก็สร้างหอสูงๆ มีพิพิธภัณฑ์ภายใน
มองลงไปเห็นเขาวิหารทั้งพื้นที่ ออกจะงามเลิศสะแมนแตน ในพิพิธภัณฑ์ก็จัดแสดงประวัติ
ลักษณะทางสถาปัตยกรรม (ได้ข่าวแหล่งตัดหินก็อยู่ในพื้นที่เราหนิ) แล้วก็ชี้หน้ากัมพูชา
ให้นักท่องเที่ยวดูว่าน่านแหละ มันเอาของเราไป ปักป้ายว่า "ปราสาทที่ถูกแย่งชิงไป"
ออกจะเก๋ไก๋เรียกนักท่องเที่ยวได้มากมาย พลิกวิกฤติเป็นจุดขายซะเลย
อยากดูปราสาทของจริงเหรอ ในภาคอีสานยังมีปราสาทอื่นๆมากมาย
สวยกว่าสมบูรณ์กว่าด้วย

ถ้ากัมพูชายังเล่นทริค เราก็ก่อกำแพงอย่างที่อมริกาทำกับแม็กซิโก และอิสราเอลทำกับ
ปาเลสไตน์ กำแพงด้านกัมพูชาเราก็วาดโดเรม่อน โดเรมี่ โนบีตะให้เต็มพื้นที่เร้ย……

เรื่องข้อพิพาทเรื่องดินแดน เป็นเรื่องของศักดิ์ศรี และจะเป็นเครื่องหมายตอกหน้าว่า
ครั้งต่อไปกำลังจะตามมา พนันได้ว่ามาเลเซียจะเป็นชาติต่อไปที่จะมาทิ่มก้นเรา…

เกาหลีไม่ยอม ไทยเราก็จะไม่ยอม… 
 

 

อเน็จอนาถตำรวจไทย…

อ่านข่าวนี้แล้วเศร้าไม่แพ้ข่าวการเมือง เด็กนักเรียนสาวถูกจับโทษฐานเผยแพร่เพลงลามก
ดูจากรูปการณ์ก็รู้ว่าเค้าไม่ได้แต่งและเล่นเอง แต่คงได้มาจากเพื่อนๆ
แล้วเอามาโพสต์ลงเนทด้วยความคะนองตามประสาเด็ก (อย่างที่หลายคนชอบทำ)
และตำรวจคงหาตัวน้องคนนี้ได้ง่ายที่สุด เลยจับมาทำข่าว…

2008-08-02_103706

เรื่องที่น่าทำกลับไม่ทำ เรื่องที่สำคัญน้อยกว่าดันกะริกกะรี้ตีข่าวครึกโครม
หน่วยงานรัฐบาลของไทยปัจจุบันเก่งแต่เรื่องไม่เป็นเรื่อง ตั้งแต่กระทรวง ICT
กระทรวงวัฒนธรรม(อันดีและแสนจะง๊ามงามของชาติเรา) พวกนี้เก่งแต่บลอค บลอค
จับ จับ และก็ประโคมข่าวสร้างผลงาน

เก่งเป็นแต่ใช้อำนาจเชิง authoritarian บังคับ จับ ปิด ไม่ได้หันไปมองเลยว่า
ประเทศอื่นเค้าไปไกลกว่าการใช้อำนาจไม่เป็นเรื่อง

ตัวอย่างชัดๆ ไอ้เบอร์ 1900 XXX XXX นั่นมันจัญไรกว่าเด็กหญิงคนนี้ล้านเท่า
เผลอๆเข้าข่ายซื้อขายบริการทางเพศด้วยซ้ำ เคยเห็นเด็กสาวมัธยมต้นสองคนคุยกันบนรถเมล์
แข่งกันว่าใครจะจำชื่อบริการ 1900 XXX XXX  ได้มากกว่ากัน.. กรูไม่ใช่พ่อแม่มัน
แต่อยากจะจับหัวมันสองคนชนกันให้ตาย…

ไหนจะไอ้พวกบริการโหลดคอนเทนต์ วอลเปเปอร์มือถือโป๊ คลิปโป๊นั่นอีก
เห็นหราตามหน้านิตยสาร อนาจารกว่าเพลงนี่้ล้านเท่าเพราะไม่ต้องอาศัยจินตนาการเลย
แต่ไอ้พวกนี้ไม่ยักจะโดนตำรวจจับ จีรศักดิ์ว่าเพลง "หยอยรุงรัง" อะไรนั่น
น่าจะร้องเป็นเกียรติแก่ตำรวจมากกว่า อะไรที่มันรุงรังนั่น
คงจะบังตาตำรวจ จนมองไม่เห็นคอนเทนต์บัดสีอนาจารเหล่านั้น  

งานนี้จะว่าตำรวจจับแพะก็คงจะไม่ถูกนัก
จีรศักดิ์ขอตั้งชื่อกลยุทธ์นี้ของตำรวจว่า
"กลยุทธ์หมาป่าจับแกะตัวรั้งท้าย" กล่าวคือ
หมาป่ามันจะเลือกจับแกะตัวอ่อนแอที่สุดที่
วิ่งรั้งท้ายในฝูง เพราะเป็นตัวที่อ่อนแอที่สุด
และไม่มีทางสู้ ส่วนไอ้ตัวเบ้งที่เป็น forefront
runner ที่อยู่หัวแถว ก็ทำเป็นไม่เห็นมันซะ
ไม่ต้องเสียแรง และไม่ต้องขัดแย้งกับใคร 

1900999113bannner120x240 ไม่ผิดหรอกครับ ที่บลอค ที่จับ แต่ประเด็นคือ
1. มาตรการเท่านั้นมันพอไหม
2. เรื่องที่สร้างสรรค์และจำเป็นต้องแก้ไขเร่งด่วนกว่านี้ไม่มีหรือ
3. จำเป็นขนาดไหนที่ต้องลงข่าวให้ครึกโครม

การโหมประโคมข่าวมันยิ่งไปกระตุ้นต่อมอยากรู้ที่อยู่ในกมลสันดาน
ของคนทุกคน เอาง่ายๆจีรศักดิ์เองก็ไปหาโหลดเพลง
"หยอยรุงรัง" มาจนได้ไม่ยากเย็น ฟังมันก็ขำๆ
ปนแสบสันในความสัปดนของกลุ่มนักเรียนชายที่แต่งเพลงนี้ขึ้นมา

ตามความเข้าใจของจีรศักดิ์ อำนาจรัฐใช้ได้สองอย่าง
คือเชิงบังคับ และเชิงสร้างสรรค์ ไอ้อย่างหลังนี้แหละที่ไม่เคย
มีผลงานเข้าตาเลย จีรศักดิ์เห็นเวปไซต์เรียนภาษาเกาหลีออนไลน์ที่แสนจะสนุกชวนติดตาม
แล้วหันมามองเมืองไทยเลยได้รู้ว่าทำไมวัยรุ่นไทยมันถึงเข้าแต่เวปบันเทิงเริงรมย์ไร้สาระ
ถ้าหน่วยงานของไทยยังชอบถือแส้มากกว่าถือไม้คฑาสร้างสรรค์
ประเทศไทยก็ยังคงด้อยพัฒนาอยู่ต่อไป

อุปาดั่งพ่อแม่ที่จ้องแต่จะออกกฎและลงโทษลูกของตัวเอง
แต่ไม่เคยซื้อหนังสือดีดีให้อ่าน ซื้ออุปกรณ์กีฬาให้เล่น พาไปเที่ยวสถานที่ดีดี

ของบางอย่างทำได้แค่ "ลด" แต่จะให้หายไปหมดเกลี้ยงมันเป็นไปไม่ได้
ซ่องเอย เวปโป๊ หนังโป๊เอย ปิดและจับให้ตายก็ไม่หมด เหมือนเกมส์ตัวตุ่น
ที่โผล่หัวจากรูแล้วเอาค้อนทุบ ทุบรูนี้มันก็หนีออกรูโน้น

เอาง่ายๆ ตอนนี้ น้องแนท นมมหาประลัย เธอยังร่าเริงอยู่ในวงการบันเทิง
หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องทั้งหลายได้กลายเป็นฝ่ายประชาสัมพันธ์ให้เธอไปโดยปริยาย
เอน็จอนาถใจจริงๆว่ะ ประเทศไทย…

 

ชอบสีม่วงอย่างแรง….

เสร็จสิ้นเสียทีเทอมหนึ่งอันแสนโหดร้าย ทำให้จีรศักดิ์ไม่เห็นเดือนเห็นตะวันเกือบสามอาทิตย์
ชีวิตประจำวันมีแต่ทำรายงานแล้วก็กิน ภาษาเกาหลีเข้าหม้อไปหมดแล้วเพราะไม่ได้ใช้เลย
หลังจากหมดเทอมก็เริ่มมีเวลาว่าง พอกินข้าวเย็นเสร็จ จีรศักดิ์จะออกไปเดินเล่น
รอบมหาลัยเพื่อป้องกันโรคหมูตอนกำเริบ และด้วยเจ้าเครื่อง NOKIA N810
ติดอาวุธGPS ทำให้จีรศักดิ์เก็บสถิติได้ว่าได้ว่าไปทางไหนรวมเป็นระยะทางเท่าไหร่
ปกติจะเดินจากหอพักที่อยู่กลางป่าดง ไปแถวๆหน้ามหาลัยแล้วกลับเข้าป่าอีกรอบ
รวมระยะทางสองกิโลกว่า…

xxxSANY1114

เดินไปเดินมาไปเจอดอกไม้ที่จีรศักดิ์ชอบที่สุด แต่มันหาดูที่เมืองไทยไม่ได้นอกจากเมืองหนาว
แบบเกาหลี-ญี่ปุ่นเท่านั้น เห็นครั้งล่าสุดที่ญี่ปุ่นเมื่อเกือบสิบปีที่แล้ว (เฮ้ย นานมากนะนั่น)
เป็นการค้นพบที่น่าตื่นเต้นมากในชีวิตจีรศักดิ์ เพราะเป็นคนชอบสีม่วง มันเป็นสีที่มีสเน่ห์
ดูลึกลึบ ปนเศร้านิดๆ ญี่ปุ่นเรียกดอกนี้ว่า Ajisai ชื่อภาษาอังกฤษมันคือ
ไฮเดรนเยีย มันจะออกดอกเป็นพุ่มขนาดเท่าหัวคน
และบานช่วงหน้าร้อนราวเดือนพฤษภา-มิถุนาเท่านั้น  มันมีหลายสีด้วย
แล้วแค่คุณภาพดินในที่ที่มันอยู่ (ขึ้นอยู่กับอารมณ์มันด้วยมั๊ง) ไล่โทนไปตั้งแต่
ขาว ชมพู ฟ้าอ่อน อินดีโก้ ม่วงน้ำเงิน และม่วงแดง
เป็นการไล่ระดับสีที่ได้อารมณ์สุนทรีย์มากๆ

xxxSANY1131

รายงานปลายภาคทำเอาจีรศักดิ์เร่งวงจรชีวิตเร็วขึ้นสิบปี หน้าแก่ไปถนัดใจ
แถมเมื่อคืนนอนแค่ชั่วโมงเดียว หน้าตาเลยออกมาอย่างที่เห็น
แค่อยากเทียบให้ดูขนาดช่อดอกของมันเท่านั้น
ในรูปเป็นพุ่มที่สีออกขาวปนฟ้าอ่อน ดีใจครตที่มหาลัยที่หาดอกไม้สวยๆแบบนี้มาปลูก

xxxSANY1112

เพิ่งรู้ว่าหน้าร้อนเกาหลี มันคือหน้าฝนดีดีนี่เอง วันแดดออกมีพอๆกับวันฝนตกเลย
ชอบมากเวลาฝนตก จากระเบียงห้องวิวตอนฝนตกในป่าสนให้บรรยากาศ Yugen 
ราวกับภาพเขียนเซ็นที่ใช้แค่การไล่ระดับหมึกสีดำมาทำให้เกิดภาพ
Yugen เป็นศัพท์ด้านสุนทรียศาสตร์ของญี่ปุ่น ประมาณว่าเป็นความงามที่แฝงไว้
ด้วยเสน่ห์อันลี้ลับ นึกไปถึงโคลงญี่ปุ่นที่เกี่ยวกับหมอกสมัยเรียนปริญญาโทเลย
(ตอนนี้นึกไม่ออกกระทันหันเพราะถ้าจะนึกให้ออกต้องใช้บรรยากาศมาช่วยผลักดัน)
เอาโคลงนี้ไปแทนก็แล้วกัน ไม่รู้แปลผิดอ๊ะเปล่า เป็นภาษาญี่ปุ่นโบราณน่ะ

Mare ni kuru                           ไม่ได้ที่นี่มานานแล้ว

Yowa mo kanashiki                  ยามค่ำคืนช่างดูน่าเศร้าสร้อย

Matsukaze o                           ยินเสียงลมลู่ไล้ต้นสน

Taezuya koke no                     แม้เธออยู่ใต้มอสที่คลุมร่างตลอดกาล

Shita ni kikuramu                    ก็จะยังได้ยินเหมือนกันไหมหนอ


โคลงนี้ชวนให้นึกถึงคนสำคัญที่จากไปครบปีช่วงนี้พอดี….   


 

ฟ้องด้วยภาพ (คอลัมน์ใหม่ประจำสเปซ)

หาโอกาสมานานที่จะได้ถ่ายภาพแบบนี้ วันนี้ได้ถ่ายสมใจ
คือว่าอยากจะบ่นว่ามอร์เตอร์ไซค์ที่ภูเก็ตนี่มันขี่กันได้ทุกเลนจริงๆ
บีบแตรก็ไม่ค่อยหลบ หัวแข็งสมกับเป็นคนภาค
XX
(เซ็นเซอร์อีกแล้วเพื่อความสงบของประเทศ)
ในภาพนับแมงกะไซค์ได้ 4 คัน ไม่มีคันไหนชิดซ้ายเลย !?

จีรศักดิ์เคยบรรทุกอาจารย์จากเกาหลี แล้วขับเที่ยวในตัวเมือง
ภูเก็ต เจอมอร์ไซค์พฤติกรรมแบบนี้ จีรศักดิ์บีบแตรใส่สั้นๆ
พอให้รู้ตัว เจอเขาบีบแตรกลับ แถมทำหน้ายักษ์ใส่ แน๊
จีรศักดิ์ของขึ้นส่งนิ้วกลางให้มัน ดีนะที่มันไม่พกปืนมา
อาจารย์เกาหลีตกใจในพฤติกรรมท้าทายยมบาลของจีรศักดิ์
มาก รีบบอกว่า
"No No, You can not do this
You are professor"
จีรศักดิ์เลยตอบแบบ
Broken
English
กลับไปบ้างว่า
"Professor is also human"

ได้ข่าวว่าโน๊ต อุดม ยังเคยบอกว่าคนภูเก็ตขี่มอร์ไซค์
แบบตามใจฉันมากๆ ไม่กลัวอะไรเลย

ตอนที่จีรศักดิ์ยังใช้มอร์ไซค์ (หลายคนไม่เชื่อว่าจีรศักดิ์เคยขี่มอร์ไซค์)
จีรศักดิ์ขี่ชิดขอบทางจนเพื่อนด่า คราใดที่ซ้อนเพื่อนก็พยายามเตือน
ให้มันชิดซ้ายจนโดนมันด่า เฮ้อ ชีวิต

สรุปทฤษฎีเกี่ยวกับคนภูเก็ตของจีรศักดิ์เท่าที่นึกออกหรือได้ยินมา
1.คนภูเก็ตตื่นสายมาก เปิดร้านสายราวกับกลัวจะต้องขายของ
2.
คนภูเก็ตไม่เดินแม้ระยะทางใกล้ๆ นิดหน่อยก็มอร์ไซค์
3.
คนภูเก็ตรักสบาย มักถูกเลี้ยงแบบตามใจ
4.
คนภูเก็ตไม่ค่อยกินข้าวนอกบ้าน
5.
คนภูเก็ตสร้างบ้านเป็นอยู่ทรงเดียว แบบเพิงหมาแหงน
และกลัวมากที่จะสร้างบ้านสองชั้น
6.
คนภูเก็ตไปกรุงเทพมักจะตกใจกับราคาข้าวของที่ดูจะถูกมาก
ในสายตาของคนภูเก็ต เพราะที่ภูเก็ตของแพงทุกอย่างยกเว้นสับปะรด

7.
คนภูเก็ตก็เลยชอบไหว้เจ้าด้วยสับปะรด ฮ่า ฮ่า

จบดีกว่า เขียนมากกว่านี้เดี๋ยวโดนคนภูเก็ตล่ารายชื่อสั่งปิดสเปซ

ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป ?

วันนี้เอารถไปเปลี่ยนอะไหล่ (อีกแล้ว เซ็งเป็ดจิงๆ)

ระหว่างรอรถก็เดินมาราธอนไปร้านหนังสือ "เส้งโห"

ที่ใหญ่และมีหนังสือมากที่สุดในภูเก็ต(มั๊ง)

ฟังชื่อก็รู้ได้เลยว่า เป็นกิจการของคนจีน

ทำให้พาลคิดต่อไปว่า ถ้าเป็นกิจการชาวจีนละก็

มันต้องมีความงกแฝงอยู่ในธุรกิจไม่มุมใดก็มุมหนึ่ง

(อ้าว ว่าพวกพ้องเดียวกันซะงั๊น) ปรากฎว่าเจอเข้าจนได้ นั่นคือ

เมื่อก่อนเขามีเก้าอี้หลายตัวให้คนได้พักนั่งพิจารณาหนังสือนานๆ

 (ภาษาบ้านๆว่าอ่านฟรี) แต่เดี๋ยวนี้เขาเอาออกหมดเลย

เผอิญวันนี้อยู่ในร้านหนังสือค่อนข้างนานประมาณสามชั่วโมง

เลยรู้สึกได้ถึงความทรมานจากการยืนพิจารณาหนังสือ

พาลสาบแช่งเจ้าของร้าน (จิตใฝ่ต่ำกำเริบล่ะ)

บางร้านเลวร้ายกว่านั้น ยืนนานๆมันเมื่อยขอนั่งขัดสมาธิอ่านกับพื้น

เจอพนักงานบอกว่าห้ามนั่งเสียอีก

จีรศักดิ์เคยโดนสมัยยังเป็นละอ่อนหัวอ่อนสมชื่อ

ใครว่าอะไรเชื่อหมด ถ้าเป็นตอนนี้นะฮื่ม

จะเถียงพนักงานเลยว่าการนั่งนี่มันเป็นสิทธิที่ประชาชน

ทำได้นะเว้ย มันผิดรัฐธรรมนูญข้อไหนหา ถ้ากรูผิดจริง

ไปเรียกตำรวจมาเลย ใจดำแล้วยังชอบตั้งกฎเถื่อนๆอีกนะเพ่

(ความแรงบังเกิดอีกแล้ว)

 

อย่างไรก็ดี นโยบายแบบนี้ก็ยังได้ผล กล่าวคือร้านได้ผลกำไร

จากการที่จีรศักดิ์ต้องเสียเงินซื้อหนังสือมาสามเล่มในที่สุด

มีหนังสืออีกมากที่อยากซื้อ โดยเฉพาะหนังสือธรรมะมาดับทุกข์

พิจารณาที่มุมหนังสือธรรมะอยู่นาน อ่านไปอ่านมาหลายเล่ม

สรุปได้ว่าหนังสือธรรมะที่ฝรั่งเขียนแล้วคนไทยแปลมา เผลอๆ

ดีกว่าหนังสือที่คนไทยเขียนขึ้นเสียอีก มีอยู่เล่มนึงอยากได้

แต่มันแพงเลยไม่ได้ซื้อมา ชื่อว่า "กรรมและการเกิดใหม่ในสังคม

ร่วมสมัย" แปลมาจาก "Exploring Karma & Rebirth"

ที่ว่าดีเพราะมันให้คำตอบที่บางครั้งเราก็สงสัย

เช่นเรื่องของกรรมที่ว่า

ทำไมทำดีแล้วไม่ได้ดี หรือทำไม่ดี ทำไมได้ดี

จริงๆแล้วพระพุทธเจ้าก็อธิบายไว้ว่าอย่างที่หลายคนรู้แล้วว่า

กรรมดีหรือชั่วบางอันมันไม่ได้ส่งผลทันทีทันใด

แต่เราเองก็ยังสงสัยต่อไปว่า แล้วไอ้คนที่ทำดีมาตลอด

แต่มันต้องเจอสิ่งร้ายๆนี่ล่ะมันจะอธิบายได้ว่าอย่างไร

ทำไมความไม่ยุติธรรมแบบนี้ถึงเกิดขึ้นมาได้

อย่างเช่น คนที่ทำบุญตักบาตรประจำ จู่ๆข้ามถนนถูกคนเมา

ขับรถชนตายง่ายๆเสียอย่างงั๊น นี่ถ้าเป็นพระทั่วไปก็คงอธิบายว่า

ก็โยมคงทำกรรมชั่วไว้ในอดีต ผลกรรมที่ทำไว้จึงส่งผลมา

ทำให้โยมต้องตายไงล่ะ อิอิ (อืม พระคงไม่หัวเราะแบบนี้)

 

หนังสือเขาอธิบายประมาณว่า เราเองไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวในโลก

เรายังต้องได้รับผลกระทบจากการกระทำของบุคคลอื่นอยู่เสมอ

 

จีรศักดิ์คิดต่อไปว่าคงเหมือนเราทดลองวิทยาศาสตร์

แต่เราไม่ได้ควบคุมตัวแปรอิสระอื่นๆ ที่จะมากระทบ

ทำให้ผลการทดลองไม่เป็นไปตามที่มันควรจะเป็น

คิดต่อไปอีกว่าคงเหมือนกรณีที่เราได้ยินข่าวเป็นประจำว่า

รถบัสบรรทุกคนไปทอดผ้าป่าที่วัด แต่มาคว่ำตายเกือบทั้งคัน

ตอนเด็กๆจีรศักดิ์คิดว่า โลกนี้ไม่ยุติธรรมเลย

คนกำลังไปทำบุญแท้ๆ

แต่หารู้ไม่ว่า ไอ้ที่รถคว่ำตาย คนขับมันเมาเหล้า ไปกันแบบนี้

มันก็ครึกครื้นเฮฮา ตีฉิ่งตีฉาบ ดอดเหล้าเข้าปาก มันก็เกิดเรื่อง

นี่เองที่พระพุทธเจ้า(อาจจะ)ไม่ได้อธิบายไว้ว่า

การกระทำของคนหนึ่ง มีผลกระทบต่อคนอื่น

โยงใยกันไปหมดเหมือนผ้าผืนเดียวกัน

ก็เราอยู่บนโลกเดียวกันนี่ ใช่ไหม

 

นี่เองที่ทำให้จีรศักดิ์คิดได้ว่า รู้อย่างนี้ก็ยิ่งต้องระวังการกระทำ

ของตนเองไม่ให้ไปก่อผลสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่น

ความเคลื่อนไหวของเรามักก่อผลดีหรือเสียต่อผู้อื่นได้ทั้งนั้น

ดังนั้นแสดงว่าเราต้องยิ่งพยายามไม่ประพฤติชั่วต่อผู้อื่น

ให้เขาต้องมารับผลกระทำของเรา คนขับก็ต้อง

รับผิดชอบชีวิตของผู้โดยสาร ไม่ดื่มหล้าเฮฮา

จะได้ไม่พาคนใจบุญต้องมาจบชีวิตง่ายๆ

ด้วยการกระทำของตน

 

ดูเหมือนหนังสือพยายามสรุปว่า

ชีวิตของเราสัมพันธ์กับบุคคลอื่นอย่างใกล้ชิด

เรามิใช่ตัวเองที่แยก โดดเดี่ยวจากสรรพสิ่งและคนทั้งหลาย

แต่เป็นตัวตนที่สัมพันธ์ต่อกัน

การกระทำของเราและของผู้อื่นรอบตัวเรา

มีอิทธิพลต่อกันและกัน

การเป็นมนุษย์ก็คือการสัมพันธ์กับมนุษย์ผู้อื่น

การกระทำของเรา

ไม่เพียงแต่จะมีความหมายต่อผู้อื่นในปัจจุบันเท่านั้น

แต่ยังอาจมีผลแม้ต่อผู้ที่ยังไม่เกิดได้อีกด้วย

เมื่อตระหนักเช่นนี้ก็จะเข้าใจได้ว่า

การที่เราดำเนินชีวิตอย่างไรนั้น มีความสำคัญยิ่งนัก

การปฏิบัติตนของเรา

อาจเป็นการไปเพิ่มผลรวมของความดีงามในโลก

หรือไม่ก็ไปกัดกร่อนความดีงามโดยไปเพิ่มความชั่วร้ายก็ได้

 

วันนี้รู้สึกเขียนเรื่องเครียดเกินไปล่ะ ขอแถมท้ายนิดนึงว่า

จีรศักดิ์สงสัยเหลือเกินว่าทำไมบุคคลรอบข้างหลายคน

ไม่เชื่อเรื่องของกรรม

เนื่องจากคำสอนข้อนี้เป็นวิทยาศาสตร์และพิสูจน์ได้อย่างชัดเจน

เอาง่ายๆอย่างเช่น ไม่อ่านหนังสือก็สอบตก

ขับรถไม่ระวังก็เกิดอุบัติเหตุ

นี่เป็นอะไรที่ชัดเจนอยู่

แม้ว่าเรื่องของกรรมจะเป็นเรื่องลึกซึ้งกว่านั้น

และไม่เป็นรูปธรรมชัดเจน

แต่มันก็ไม่พ้นความเป็นวิทยาศาสตร์ไปได้

 

สาธุ ใครอ่านแล้วเข้าใจบ้างว่าจีรศักดิ์เขียนอะไร

เออ ยัง งงงง ตัวเองอยู่เหมือนกันแหละ

ปิดท้ายอีกทีด้วยรายงานสถานการณ์ลดความอ้วนของจีรศักดิ์

ลงไปแล้ว 7 กิโล แต่หน้ายังไม่ค่อยลดเลย

สงสัยต้องโดยตบหน้าบ่อยๆ จะได้ยุบๆ อิ อิ

ภาพนี้ถ่ายที่ร้านอาหารริมวงเวียนหอนาฬิกา

ที่เขาสร้างขึ้นมาใหม่ เห็นหอฬิกาไหม

ฤาจีรศักดิ์เอาหน้าบังไปหมดแร๊วว

ห้องในฝัน

จีรศักดิ์ใฝ่ฝันมาแต่เด็ก ว่าโตขึ้นจะได้เป็นสถาปนิก

แต่ไฉนตอนนี้ถึงต้องมายืนหน้าชั้นสอนภาษาญี่ปุ่น

ก็ยังไม่เข้าใจตัวเอง สมัยประถมต้องตระเวนไปประกวด

วาดรูป หนังสือหนังหาไม่ค่อยได้เรียน ประกวดทีไรมักได้แต่ที่สอง

มิน่าล่ะ ตอนนี้ชีวิตถึงต้องเป็นที่สองของคนอื่นอยู่เรื่อย ฮี่ฮี่

 

เข้าเรื่องดีกว่า ท่องเวปไปเรื่อยเผอิญเห็นรูปห้องที่ถูกใจมาก

ตรงตามคอนเซปต์ของจีรศักดิ์เด๊ะ เหมือนทำมาเพื่อเรา

อย่างไงอย่างงั๊น เป็นตัวอย่างที่ดีของการใช้พื้นที่ให้คุ้ม

ที่สำคัญเป็นห้องที่มีที่เก็บหนังสือเยอะมาก

จีรศักดิ์ชอบหนังสือ เสียเงินไปเป็นแสนแล้วมั๊งสำหรับค่าหนังสือ

แต่ตั้งแต่มาเป็นครูจนๆก็ไม่ซื้อเองแล้ว ยักยอกของราชการเอา ฮ่า

ดูจากแปลนจะเห็นว่าห้องค่อนข้างเล็ก

แต่ใจเย็นลองดูรูปของจริงก่อน

มีตู้เก็บของและหนังสือได้เยอะสะใจ เหมาะกับคนมี gadgets

เยอะๆอย่างจีรศักดิ์ ซึ่งปัจจุบันจะหาอะไรก็หาไม่ค่อยเจอ

โต๊ะทำงานขนาดพอดี ทั้งหัวเตียงและข้างเตียงมีที่วางหนังสือ

ใช้พื้นที่ได้คุ้มจริงๆ ถ้าเป็นห้องจีรศักดิ์เองจะวางตู้ปลายาวๆไว้ข้างเตียง

แล้วติดหลอดไฟสีม่วงไว้ด้วย โรแมนติกซ้าาา

หน้าตางแบบเบย์วินโดว ช่วยให้แสงผ่านเข้ามาได้มาก

สงสัยว่าคอนโดในเมืองไทยทำไมมันไม่ค่อยทำหน้าต่างแบบนี้

นี่จีรศักดิ์ก็ว่าจะแอบทุปหน้าต่างแบบเดิมๆที่หอทิ้งให้มันกว้างขึ้น

เหมือนกัน แต่กลัวเขารู้ โดนปรับบาน

มีโต๊ะเล็กๆสารพัดประโยชน์ใช้ทำอะไรก็ได้ นั่งชมวิวเฉยๆก็เท่ห์

ห้องน้ำเรียบง่ายแต่อลังการและดูทันสมัยซะ

ชอบอ่างล้างหน้ากับกระเบื้องสีเขียว งามแต๊งามว่า

กลับมาดูห้องจีรศักดิ์ปัจจุบัน เป็นของหลวง กว้างขวาง

มีสองห้องนอน แถมห้องครัว แต่สวยไม่ได้ครึ่ง

ขอพื้นที่เล็กๆดีกว่า จะได้ไม่ต้องถูห้องมาก

ว่าแล้วไปถูห้องก่อน ไมได้ถูมาเดือนแล้ว จ๊ากกกกส์

อ้อ รูปขโมยเขามาจากที่นี่นะ

http://mara.bloggang.com

ตามกระแส Tsunami

จะครบรอบหนึ่งปีสึนามิแล้ว เลยนึกถึงรูปนี้

ซึ่งเป็นรูปที่ได้รับรางวัลภาพข่าวดีเด่นจาก

สำนักข่าวไหนลืมไปแล้ว น่าจะเป็นภาพจากอินเดีย

เป็นภาพที่ดูแล้วหดหู่สุดๆ แต่ในเมืองไทยภาพ
ประมาณนี้คงจะเกิดขึ้นกับญาติของผู้ตายนับหลายพัน

(ไม่ใช่แค่ราว 1000คน อย่างที่ทางการประกาศ

หลังจากที่สึนามิผ่านไปแล้วหลายวัน)

 

ความจริงของสึนามิ

เมื่อเดือนที่แล้วดูสารคดีNHKของญี่ปุ่น เลยได้รู้ว่า

จริงๆแล้วความน่ากลัวของสึนามิไม่ใช่ความสูงของคลื่น

แต่เป็นปริมาณน้ำที่อยู่ด้านหลังคลื่นมากกว่า

คลื่นธรรมดาจะมีรูปร่างคล้ายตัว Vหัวกลับ

แต่คลื่นสึนามินั้นด้านหลังของคลื่นจะยังมีน้ำตามมา

ปริมาณมหาศาล จึงทำให้พลังทำลายล้างมากกว่า

คลื่นธรรมดาหลายเท่าตัว สิ่งที่สารคดีนั้นสรุปไว้

ก็คล้ายกับข้อความในรูปด้านล่างนี้ ซึ่งก็คือ

Even a Tsunami that looks small

can be dangerous !

 

ประเทศอะไร ใจดำฉิบ

ดูนิตยสาร National Geographic (แน่นอน

ฉบับภาษาไทย) มีกราฟแสดงให้เห็นยอดบริจาคของแต่ละ

ประเทศ ญี่ปุ่นนำโด่ง ตามด้วยอเมริกา (จริงๆน่าจะ

กลับกันมากกว่า ไอ้กันจอมงกเอ๊ย) ประเทศที่บริจาค

น้อยที่สุดในบรรดาประเทศที่มีกินมีใช้คือ ประเทศแถว

อาหรับโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ซาอุดีอาราเบีย จำไว้เลย

ใครมิตรแท้มิตรจริง เห็นกันตรงนี้

 

เงินบริจาคไปไหนหมด

เขาบริจาคกันมาเป็นพันล้าน เห็นชัดๆอยู่อย่างเดียว

คือเรือประมง มีหลายที่ที่ตรงไหนมันพัง ผ่านไปหนึ่งปี

มันก็ยังพังอยู่อย่างนั้น คาดว่าโอกาสครบรอบหนึ่งปีสึนามินี้

คงจะมีรายการตีแผ่กันสนุกสนาน ว่าใครยักยอกอะไร

ไปบ้าง เออดี สาวไส้กันออกมาให้หมด ภาพนี้ถ่ายเอง

ด้วยกล้องมือถือกิ๊กก๊อก สวยบ่

 

สึนามิ ทำให้ทะเลสวยขึ้น !?!?

ได้ยินบ่อยเหลือเกินคำนี้ ทั้งทางทีวี จากปากคนอื่น และจากนิตยสาร

อยากรู้ด้วยว่าใครเป็นคนต้นคิดประโยคนี้ อยากจับมาหวดไม้เรียว

เอาหลักฐานงานวิจัยมาอ้างอิงสิครับ

ว่าสึนามิมันทำให้ทะเลสวยขึ้นจริง

ไม่ใช่จินตนาการเอาลมๆแล้งๆว่าสึนามิช่วยทำความสะอาดหาดและทะเล

ที่แน่ๆน่ะ ไอ้ขยะที่สึนามิกวาดลงไป ประดา ทีวี ตู้เย็น มอร์เตอร์ไซค์

ที่ลงไปนอนเล่นใต้ทะเลน่ะ

ป่านนี้เก็บไปแล้วเป็นตันก็ยังไม่หมด

แล้วของพวกนี้ที่มันกลิ้งไปกลิ้งมาใต้ทะเลมันคงไม่ไปทำลายปะการัง

เลยล่ะสิ

ขอร้อง อยากโฆษณาให้คนกลับมา ก็จงทำอย่างสร้างสรรค์

คนไทยเสียอยู่อย่าง มักจะพูดโดยไม่มีหลักฐานรองรับชัดเจน

โดนฝรั่ง ญี่ปุ่นด่าในประเด็นนี้มานักต่อนัก ยังไม่เคยจำ

 

หลายเป็นblogบ่นอีกแล้ว ยิ่งแก่ยิ่งบ่น เอี๊ก เอิ๊ก

เบื่อทีวีไทย ทนไม่ไหวแล้ว

ระยะหลังดูทีวีไทยแล้วเครียดเต็มทน

หาอะไรเป็นสาระไม่ได้ แถมมีแต่รายการ

รูปแบบเดิมๆ รายการดีมีน้อยจริงๆ

รายการส่วนใหญ่มีรูปแบบประมาณนี้

 

เกมส์โชว์ ประมาณ …

สนุกกันอยู่สองคน คือ ผู้เล่น กับพิธีกร

หน้าม้ากรี๊ดให้ดังๆ จิ้งจกทักยังกรี๊ด

เปิดป้ายมันเข้าไป เปิดมาสิบชาติ ไม่เคยพัฒนา

 

ทอล์ดโชว์ หัวข้อประมาณ..

หมาที่บ้านออกลูก

เพิ่งเล่นฉากเลิฟซีนมา หยิวมาก

เปิดตัวน้องชาย พี่สาว นอกวงการ

 

มิวสิกวีดีโอ ประมาณ…

กูต้องยัดเยียด เปิดแล้ว เปิดอีก จนมันฟังเพราะไปเอง

กูต้องโชว์ โชว์นมตู้ม ประกอบเพลง อยากมีผัว

เต้นอยู่ท่าสองท่า เอามันเข้าว่า ชี้นิ้ว เอียงคอ ชี้นิ้ว เอียงคอ

 

ละครเน่าๆ เนื้อหาแบบว่า..

ตบตีกันเยอะๆ ตอกย้ำความแกร่งกล้าของหญิงไทย

เนื้อหาไม่พ้นย้อนยุค ประมาณเจ้าชายประเทศขี้ทูตกุฎถังนคร

บ้านหรูสไตล์หลุยส์ ขับรถคันหรู วันๆไม่ทำงานทำการ

 

เบื่อ เบื่อ เบื่อ

เบื่อจนขอ งดรูปประกอบ หนึ่งครั้ง

ตั๋วฟรี จากแอร์เอเซีย เหลือเชื่อจริงๆ

เซอร์ไพรส์อีกแล้ว แอร์เอเซีย ให้ตั๋วฟรี

เที่ยวขาออกจากกรุงเทพ จองก่อน ได้ก่อน

มีให้ตั้ง 2,000,000 ที่นั่ง แต่ต้องจอง

ผ่านเวปเท่านั้น

 

ลองเข้าเวปดู โห ฟรีจริงโว้ย แต่ก็มีบางวัน

ที่ไม่มีตั๋วฟรีแล้ว ว่าไปจะว่าฟรีก็ไม่เชิง

ต้องเสียค่าธรรมเนียมประมาณ 500บาท

แต่นั่นก็แทบเรียกได้ว่าเกือบฟรีแล้วแหละ

ถูกกว่ารถ ปอ.1 เสียอีก นี่ไปต่างประเทศ

ก็ราคาประมาณ 500บาทเหมือนกัน

มาเก๊า สิงคโปร์ กัวลาลัมเปอร์เอย เยอะแยะไปหมด

 

ระลึกชาติไปถึงปีก่อน ตอนแอร์เอเซียเปิดตัวใหม่ๆ

มีโปรโมชั่น 99บาท (รวมค่าธรรมเนียมเป็น

200

กว่าบาท) ตอนนั้นต้องเดินทางจากกรุงเทพ

กลับภูเก็ตพอดี ก็เลยจองดู ระหว่างที่นั่งเครื่อง

อยู่บนฟ้า ยังนึกว่าฝันไป คิดกับตัวเองว่า โห

ก้องเอ๋ย แกนั่งเครื่อง จากกรุงเทพไปภูเก็ต เสียเงิน

แค่สองร้อยกว่าบาทเองนะแก

 

หลังจากนั้นก็ใช้บริการ แอร์เอเซียเรื่อยมา

เพราะต้องไปๆมา กรุงเทพ ภูเก็ต เพื่อจัดการเรื่อง

วิทยานิพนธ์ บุญคุณของแอร์เอเซียจึงใหญ่หลวงนัก

เอาเหอะ

 

กลับมาปัจจุบัน ถึงตั๋วถูกก็จริง

แต่ยังไม่รู้เลยว่าจะนั่งไปไหน แล้วไปทำอะไร

เพราะระยะเวลาของตั๋วจะเริ่มตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์

เฮ้อ กลุ้ม ใครช่วยคิดที

Kanashii toki…. รู้สึกเศร้าตอนที่ …..

เคยรู้สึกเศร้าอะไรที่ชาวบ้านปกติเขาไม่เศร้ากันบ้างไหม

 

จำได้ว่านานมาแล้ว เคยเดินผ่านรถเข็นขายไก่ย่างหน้าโรบินสัน

ในตัวเมืองภูเก็ต แม่ค้าคนหนึ่งกำลังหน้าดำคร่ำเครียดกับการปิ้งไก่

แต่สิ่งหนึ่งในตัวของแม่ค้าพุ่งมาสะดุดต่อมเศร้าของข้าพเจ้าอย่างจัง

ราวกับกดปุ่ม pause "แม่ค้าแต่งหน้าจัดเหลือเกิน" คิดได้ดังนั้น

แทบยืนไม่ได้ เกิดอาการสงสารแม่ค้าอย่างจัง น้ำตาเกือบร่วง

 

ปกติข้าพเจ้าเป็นคนไม่ขี้สงสาร ขอทานเอย เด็กเร่ขายของเอย

จะมองผ่านราวกับผักปลา ตรงกันข้ามกับแม่ซึ่งเห็นขอทานปุ๊บ

มือจะทำงานอัตโนมัติไปหยิบกระเป๋าสตางค์ของตนออกมา

 

แล้วอะไรทำให้ข้าพเจ้าสงสารแม่ค้าคนนั้นถึงเพียงนั้น ว่าไปแล้ว

จะว่าสงสารก็คงไม่ถูกนัก แต่ภาพที่มัน contradictory (แหะ แหะ

กลัวเดี๋ยวชาวบ้านไม่รู้ว่าเราเก่งอังกฤษ อ้อ แปลว่า ขัดแย้งจ๊ะ)

ภาพที่มันขัดแย้งกัน กล่าวคือ ถ้าแม่ค้ารักสวยรักงามขนาดนั้น

จะมายืนรมควันเผาหน้าตัวเองอยู่ทำไมทุกวัน คิดได้ดังนั้น

ก็ต่อมเศร้าแตก

 

นึกไปถึงรายการตลกของญี่ปุ่นที่เคยดูเมื่อ 3-4ปีที่แล้ว เป็นรายการ

ตลกคาเฟ่ของโอซาก้า เอาวลี Kanashii toki…. หรือแปลได้ว่า

รู้สึกเศร้าตอนที่ ….. ออกมาล้อเล่น โดยอีกคนจะพูดว่า

"รู้สึกเศร้าตอนที่ ….." แล้วอีกคนก็จะตอบ เนื้อหาประมาณว่า

 

นาย ก: รู้สึกเศร้าตอนที่ …..

นาย ข: ตอนที่.. ตอนที่เห็นแม่แกนอนกับพ่อข้าไง ฮ่า ฮ่า

 

แล้วก็เอาฝาหม้อมาตีหัวกันแบบตลกคาเฟ่เมืองไทยเด๊

 

วลีนี้ฮิตมากในญี่ปุ่นอยู่ระยะหนึ่ง จนกลายมาเป็นหนังสือ

(หรือหนังสือมันออกก่อนหว่า จำไม่ค่อยได้) ประมาณว่าใน

หนังสือจะลงหัวข้อที่ตัวเองรู้สึกว่าเศร้าที่ได้พบเห็น หรือได้ประสบ

ทั้งๆที่มันอาจจะไม่เศร้าในสายตาคนทั่วไป หรือคนทั้วไปไม่ทันสังเกต

และมีภาพประกอบด้วย อย่างเช่น

 

รู้สึกเศร้าตอนที่ ..

ตอนที่เพิ่งรู้ว่าตัวเองเดินกางร่มอยู่คนเดียว ก๊าก ก๊าก

 

รู้สึกเศร้าตอนที่ ..

ตอนที่หยุดงานที่บริษัท แต่ไม่มีใครสังเกตเลยว่าตัวเองหยุดงาน

ก๊าก ก๊าก

 

ไอ้เสียง ก๊าก ก๊าก เป็นเสียงหัวเราะของข้าพเจ้าเอง

ผู้อ่านทั้งหลายขำกันบ้างไหมเอ่ย

 

 แล้วคุณผู้อ่านล่ะ รู้สึกเศร้าตอนไหนบ้าง 

Previous Older Entries